วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ฟ้อนสาวไหม

     
    ฟ้อนสาวไหม เป็นศิลปะการฟ้อนรำประเภทหนึ่งของชาวล้านนาที่มีพัฒนาการทางรูปแบบมาจากการ เลียนแบบอากัปกิริยาการสาวไหม ผู้ฟ้อนส่วนใหญ่มักเป็นหญิงสาว ลีลาในการฟ้อนดูอ่อนช้อยและงดงามยิ่ง          
 ฟ้อนสาวไหมเป็นฟ้อนทางภาคเหนือ ทางวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ได้ปรับปรุงสืบทอด มาจาก ครูพลอยศรี สรรพศรี ทั้งนี้ ครูพลอยศรีได้ถ่ายแบบรับท่ามาจากหญิงชาวบ้านที่จังหวัดเชียงราย ชื่อ บัวเรียว รัตนมณีกรณ์ ซึ่งคุณบัวเรียวก็ได้เรียนการฟ้อนนี้มาจากบิดาของตนอีกทีหนึ่ง
ผู้แสดง         ใช้ผู้หญิงแสดงจำนวนเท่าไรก็ได้ ปัจจุบันก็มีผู้ชายเข้ามาแสดงด้วยก็มี
การแต่งกาย  แต่งกายแบบพื้นเมือง คือนุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อแขนกระบอกห่มสไบทับ เกล้าผมมวยประดับดอกไม้
การแสดง     เริ่มจากการแสดงท่าหักร้างถางพง เพาะปลูกฝ้ายและหม่อน ซึ่งเป็นการแสดงของช่างฟ้อนชาย เพิ่งเพิ่มเข้ามาภายหลัง  ต่อจากนั้นก็เป็นท่วงท่าในการฟ้อนสาวไหมเริ่มจากท่าเลือกไหม ดึงไหมออกจากรัง ม้วนไหม สาวไหมออกจากตัว ไหล่ ศีรษะ เท้า ม้วนไหมใต้ศอก พุ่งกระสวย กรอไหม พาดไหม ป๊อกไหม จนกระทั่งชื่นชมกับผ้าที่ทอสำเร็จแล้ว
ดนตรี      ดนตรีที่ใช้ประกอบการฟ้อน จะใช้วงดนตรีพื้นเมืองซึ่งมีสะล้อ ซอ ซึง เพลงร้องมักไม่นิยมมี จะมีแต่เพลงที่ใช้บรรเลงประกอบ แต่เดิมที่บิดาของคุณบัวเรียวใช้นั้นเป็นเพลงปราสาทไหว ส่วนคุณบัวเรียวจะใช้เพลงลาวสมเด็จ เมื่อมีการถ่ายทอดมาครูนาฎศิลป์ได้เลือกสรรใช้เพลง "ซอปั่นฝ้าย" ซึ่งมีท่วงทำนองเป็นเพลงซอทำนองหนึ่งที่นิยมกันในจังหวัดน่าน และมีลีลาที่สอดคล้องกับการฟ้อนสาวไหมอย่างงดงามยิ่ง
สถานที่แสดง    ไม่จำกัดเวที
โอกาสที่แสดง   แสดงได้ทุกโอกาส และในงานเทศกาลหรืองานนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ

นาฏศิลป์ไทย ๑ ว่าด้วย การรำหมู่


นาฏศิลป์ไทย ๑ ว่าด้วย การรำหมู่



                                    รำสีนวล

      ที่มาของภาพ  :  หนังสือวิพิธทัศนาสถาบันนาฏดุริยางคศิลป์ (๒๕๔๒๒๒๖)



                              การรำหมู่



การรำหมู่  คือ  การแสดงที่ใช้ผู้แสดงมากกว่า   คนขึ้นไป  มุ่งความงามของท่ารำและความพร้อมเพรียงของผู้แสดง  เช่น รำโคม  รำพัด  รำซัดชาตรี  เป็นต้น  ในกรณีที่นำ การแสดงที่ตัดตอนมาจากการแสดงละคร   และการรำนั้นเป็นการรำของตัวละครตัวเดียวมาก่อน  เมื่อนำมารำเป็นหมู่ก็ยังคงเรียกว่ารำตามเดิม เช่น รำสีนวล รำแม่บท



                        



                           รำสีนวล



รำสีนวล  เป็นการรำประเภทการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวไทยในภาคกลาง  เนื่องจากการรำสีนวลเป็นศิลปะที่สวยงามทั้งท่ารำและเพลงขับร้อง  จึงพัฒนามาเป็นชุดสำหรับจัดแสดงในงานทั่วๆไป และนับเป็นการแสดงนาฏศิลป์อีกชุดหนึ่ง ที่นิยมแพร่หลายเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง  ลักษณะท่ารำและคำร้องของรำสีนวลมีความหมายถึงอิริยาบถที่นุ่มนวลอ่อนช้อยของกุลสตรี

รำบายศรีสู่ขวัญ


รำบายศรีสู่ขวัญ
เป็นการแสดงที่สวยงามอีกชุดหนึ่งของชาวอีสาน ใช้ในพิธีบายศรีสู่ขวัญ
หรือเชิญขวัญในการต้อนรับแขกเมือง หรือแขกสำคัญๆ
ปัจจุบันอาจใช้ในงานเบ็ดเตล็ดก็ได้

มาเถิดเย้อ     มาเย้อขวัญเอย มาเย้อขวัญเอย
หมู่ชาวเมืองมา    เบื้องขวานั่งส่ายลาย เบื้องซ้ายนั่งเป็นแถว
ยอพอขวัญมากันเพริศแพรว    ขวัญมาแล้วมาสู่คิงกม
เกศเจ้าหอมลอยลม    ทัดเอื้องชวนชมเก็บเอาไว้บูชา
ยามฝนพรำเจ้าอย่าแข็ง    แดดร้อนแรงเจ้าอย่าครา
อยู่ที่ไหนจงมา    รัดด้ายไชยามาคล้องผ้าแพรกระเจา
อย่าเพลินเผลอ    มาเย้อขวัญเอย มาเย้อขวัญเอย
อยู่แดนดินใด    ฤาฟ้าฟากใด ขอให้มาเฮือนเฮา
เพื่อนอย่าคิดอาลัยสู่เขา    ขออย่าเว้าขวัญเจ้าจะตรม
หมอกน้ำค้างพร่างพรม    ขวัญอย่าเพลินชมป่าเขาลำเนาไพร
เชิญไหลทาประทินกลิ่นหอม    ดมพยอมให้ชื่นใจ
เหล่าข้าน้อยแต่งไว้    ร้อยพวงมาลัยจะคล้องให้สวยรวย

ระบำสุโขทัย


ชื่อเพลง … ระบำสุโขทัย
ผู้แต่ง … มนตรี ตราโมท
ผู้บรรเลง … (รอข้อมูล)
ประเภทเพลง … เพลงระบำ
ประเภทหน้าทับ … (รอข้อมลู)
บทร้อง … ไม่มี
โน้ตเพลง … ไม่มี
รูปแบบการบรรเลงที่กำลังรับฟัง … วงปี่พาทย์ไม้นวม
ข้อมูลเพลง … ระบำสุโขทัย เป็นระบำโบราณคดี ที่ได้สร้างขึ้นตามความรู้สึกจากแนวสำเนียงของถ้อยคำไทยในศิลาจารึก ประกอบด้วย ลีลาท่าเยื้องกรายอันนิ่มนวลอ่อนช้อยของรูปภาพปูนปั้นหล่อในสมัยสุโขทัย ได้แก่ พระพุทธรูปปางสำริต และรูปภาพปูนปั้นปางลีลา รูปพระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์และท่าทีของพระพรหมและพระอินทร์ ที่ตามเสด็จ การแสดงระบำสุโขทัย จะรำตามจังหวะดนตรีไม่มีเนื้อร้อง

ระบำไก่


ระบำไก่

       ระบำไก่ เป็นการแสดงชุดหนึ่งในละครเรื่อง พระลอ ตอนพระลอตามไก่ ซึ่งนำมาจากลิลิตพระลอ วรรณคดีชิ้นเอกของไทย  เนื้อเรื่องตอนนี้กล่าวถึงปู่เจ้าสมิงพรายผู้เรืองเวทมนต์ขลัง ได้รับช่วยเหลือพระเพื่อน พระแพง เจ้าหญิงแห่งเมืองสรอง โดยจะใช้เวทมนต์นำพระลอกษัตริย์แห่งแมนสรวงมาหาเจ้าหญิง ปู่เจ้าจึงรำลึกถึงไก่  บรรดาไก่ทั้งหลายในป่าก็พากันมาหาปู่ซึ่งมีไก่แก้วรวมอยู่ด้วย  ปู่เจ้าจึงใช้ไก่แก้วให้ไปล่อพระลอมา
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ได้บรรจุทำนองเพลง "ลาวจ้อย" ไว้ได้ไพเราะยิ่ง  
ปี่พาทย์ทำเพลงลาวจ้อย 
     สร้อยแสงแดงพระพราย ขนเขียวลายระยับ 
 ปีกสลับเบญจรงค์ เลื่อมลายยงหงสบาท 
ขอบตาชาดพะพริ้ง ลิงคลิ้งหงอนพรายพรรณ 
ขานขันเสียงเอาใจ เดือยหงอนใสศรีลำยอง 
สองเท้าเทียมนพมาศ ปานฉลุชาดทำรง 
ปู่ก็ใช้ให้ผีลง ผีก็ลงแก่ไก่ 
ไก่แก้วไซร้บ่มีกลัว ซุกผกหัวองอาจ 
ผาดผันตีปีกป้อง ร้องเรื่อยเฉื่อยฉาดฉาน

วิธีการทำต้มยำกุ้ง

ต้มยำกุ้ง

เครื่องปรุง 
กุ้งชีแฮ้หรือกุ้งแม่น้ำ 300 กรัม
เห็ดฟาง 100 กรัม
ตะไคร้ 2 ต้น
ใบมะกรูด 2- 3 ใบ
ข่าหั่นเป็นแว่นบาง 3 แว่น
หัวหอมแดง 1-2 หัว
ใบผักชี พริกขี้หนูสวน น้ำปลา น้ำมะนาว
ถ้าชอบน้ำพริกเผา ใช้เนื้อน้ำพริกเผา 1 ช้อนชา น้ำมันน้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. กุ้งปอกเปลือกเอาหางไว้ ผ่าหลังดึงเส้นดำที่หลังออก ถ้าเป็นกุ้งแม่น้ำ ไม่ต้องปอกเปลือกให้ผ่าหลัง ตัดกรีกุ้งออก
2. ตะไคร้ทุบเบาๆ ตัดเป็นท่อน ใบมะกรูดฉีกเป็นชิ้นใหญ่ ข่าหั่นเป็นแว่นบาง หอมแดงบุบพอแตก พริกขี้หนูบุบพอแตก เห็ดฟางลวกพอสุก
3. น้ำใช้ประมาณ 1 ถ้วยตวง ตั้งไฟให้ดือด (จะใช้น้ำต้มกระดูกหมูหรือไก่ก็ได้ จะเพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้น) ใส่กุ้งพอสุกอย่าให้สุกมาก ใส่ตะไคร้ ข่า หัวหอม ใบมะกรูด พอเดือดปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่เห็ด ยกลงปรุงรสให้เปรี้ยวด้วยมะนาว ใส่พริกขี้หนูบุบ ชิมรสให้เปรี้ยว เค็ม เผ็ด โรยผักชี เสิร์ฟตอนยังร้อนๆ
4. ถ้าจะใส่น้ำพริกเผา ให้เอาเนื้อและน้ำมันน้ำพริกเผาคนให้เข้ากัน ใส่ลงในหม้อต้มยำ อย่าใส่กุ้งแล้วทิ้งไว้นาน พอกุ้งสุกมากจะหดและแข็งไม่อร่อย 
 

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

การรำมโนราห์


มโนราห์ หรือ โนรา หรือเขียนว่า มโนห์รา ก็มี เป็นชื่อศิลปะการแสดงพื้นเมืองอย่างหนึ่งของภาคใต้ มีแม่บทท่ารำอย่างเดียวกับละครชาตรี บทร้องเป็นกลอนสด ผู้ขับร้องต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบ สรรหาคำให้สัมผัสกันได้อย่างฉับไว มีความหมายทั้งบทร้อง ท่ารำและเครื่องแต่งกายเครื่องดนตรีประกอบด้วย กลอง ทับคู่ ฉิ่งโหม่ง ปี่ชวา และกรับ ปัจจุบันพัฒนาเอาเครื่องดนตรีสากลเข้าร่วมด้วย เดิมนิยมใช้ผู้ชายล้วนแสดง แต่ปัจจุบันมีผู้หญิงเข้าไปแสดงด้วย

เครื่องแต่งกาย

1.               เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง (โบราณไม่นิยมให้นางรำใช้) ทำเป็นรูปมงกุฎอย่างเตี้ย มีกรอบหน้า มีด้ายมงคลประกอบ
2.               เครื่องรูปปัด เครื่องรูปปัดจะร้อยด้วยลูกปัดสีเป็นลายมีดอกดวง ใช้สำหรับสวมลำตัวท่อนบนแทนเสื้อ ประกอบด้วยชิ้นสำคัญ 5 ชิ้น คือ บ่า สำหรับสวมทับบนบ่าซ้าย-ขวา รวม 2 ชิ้น ปิ้งคอ สำหรับสวมห้อยคอหน้า-หลังคล้ายกรองคอหน้า-หลัง รวม 2 ชิ้น พานอก ร้อยลูกปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้พันรอบตัวตรงระดับอก บางถิ่นเรียกว่า"พานโครง"บางถิ่นเรียกว่า"รอบอก" เครื่องลูกปัดดังกล่าวนี้ใช้เหมือนกันทั้งตัวยืนเครื่องและตัวนาง (รำ) แต่มีช่วงหนึ่งที่คณะชาตรีในมณฑลนครศรีธรรมราชใช้อินทรธนู ซับทรวง (ทับทรวง) ปีกเหน่ง แทนเครื่องลูกปัดสำหรับตัวยืนเครื่อง
3.               ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง มักทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายนกนางแอ่นกำลังกางปีก ใช้สำหรับโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง สวมติดกับสังวาลอยู่ที่ระดับเหนือสะเอวด้านซ้ายและขวา คล้ายตาบทิศของละคร
4.               ซับทรวง หรือ ทับทรวง หรือ ตาบ สำหรับสวมห้อยไว้ตรงทรวงอก นิยมทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายขนมเปียกปูนสลักเป็นลวดลาย และอาจฝังเพชรพลอยเป็นดอกดวงหรืออาจร้อยด้วยลูกปัด นิยมใช้เฉพาะตัวโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง ตัวนางไม่ใช้ซับทรวง
5.               ปีก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หาง หรือ หางหงส์ นิยมทำด้วยเขาควายหรือโลหะเป็นรูปคล้ายปีกนก 1 คู่ ซ้าย-ขวาประกอบกัน ปลายปีกเชิดงอนขึ้นและผูกรวมกันไว้มีพู่ทำด้วยด้ายสีติดไว้เหนือปลายปีก ใช้ลูกปัดร้อยห้อยเป็นดอกดวงรายตลอดทั้งข้างซ้ายและขวาให้ดูคล้ายขนของนก ใช้สำหรับสวมคาดทับผ้านุ่งตรงระดับสะเอว ปล่อยปลายปีกยื่นไปด้านหลังคล้ายหางกินรี
6.               ผ้านุ่ง เป็นผ้ายาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า นุ่งทับชายแล้วรั้งไปเหน็บไว้ข้างหลัง ปล่อยปลายชายให้ห้อยลงเช่นเดียวกับหางกระเบน เรียกปลายชายที่พับแล้วห้อยลงนี้ว่า "หางหงส์"(แต่ชาวบ้านส่วนมากเรียกว่า หางหงส์) การนุ่งผ้าของโนราจะรั้งสูงและรัดรูปแน่นกว่านุ่งโจมกระเบน
7.               หน้าเพลา เหน็บเพลา หนับเพลา ก็ว่า คือสนับเพลาสำหรับสวมแล้วนุ่งผ้าทับ ปลายขาใช้ลูกปัดร้อยทับหรือร้อยทาบ ทำเป็นลวดลายดอกดวง เช่น ลายกรวยเชิง รักร้อย
8.               ผ้าห้อย คือ ผ้าสีต่างๆ ที่คาดห้อยคล้ายชายแครงแต่อาจมีมากกว่า โดยปกติจะใช้ผ้าที่โปร่งผ้าบางสีสด แต่ละผืนจะเหน็บห้อยลงทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของหน้าผ้า
9.               หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้าเป็นของโนราใหญ่หรือนายโรงมักทำด้วยผ้าแล้วร้อยลูกปัดทาบเป็นลวดลาย ที่ทำเป็นผ้า 3 แถบคล้ายชายไหวล้อมด้วยชายแครงก็มี ถ้าเป็นของนางรำ อาจใช้ผ้าพื้นสีต่างๆ สำหรับคาดห้อยเช่นเดียวกับชายไหว
10.         กำไลต้นแขนและปลายแขน กำไลสวมต้นแขน เพื่อขบรัดกล้ามเนื้อให้ดูทะมัดทะแมงและเพิ่มให้สง่างามยิ่งขึ้น
11.         กำไล กำไลของโนรามักทำด้วยทองเหลือง ทำเป็นวงแหวน ใช้สวมมือและเท้าข้างละหลายๆ วง เช่น แขนแต่ละข้างอาจสวม 5-10 วงซ้อนกัน เพื่อเวลาปรับเปลี่ยนท่าจะได้มีเสียงดังเป็นจังหวะเร้าใจยิ่งขึ้น
12.         เล็บ เป็นเครื่องสวมนิ้วมือให้โค้งงามคล้ายเล็บกินนร กินรี ทำด้วยทองเหลืองหรือเงิน อาจต่อปลายด้วยหวายที่มีลูกปัดร้อยสอดสีไว้พองาม นิยมสวมมือละ 4 นิ้ว (ยกเว้นหัวแม่มือ)
13.         หน้าพราน เป็นหน้ากากสำหรับตัว "พราน" ซึ่งเป็นตัวตลก ใช้ไม้แกะเป็นรูปใบหน้า ไม่มีส่วนที่เป็นคาง ทำจมูกยื่นยาว ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย เจาะรูตรงส่วนที่เป็นตาดำ ให้ผู้สวมมองเห็นได้ถนัด ทาสีแดงทั้งหมด เว้นแต่ส่วนที่เป็นฟันทำด้วยโลหะสีขาว หรือทาสีขาว หรืออาจลี่ยมฟัน (มีเฉพาะฟันบน) ส่วนบนต่อจากหน้าผากใช้ขนเป็ดหรือห่านสีขาวติดทาบไว้ต่างผมหงอก
14.         หน้าทาสี เป็นหน้ากากของตัวตลกหญิง ทำเป็นหน้าผู้หญิง มักทาสีขาวหรือสีเนื้อ

องค์ประกอบหลักของการแสดง

1.               การรำ โนราแต่ละตัวต้องรำอวดความชำนาญและความสามารถเฉพาะตน โดยการรำผสมท่าต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องกลมกลืน แต่ละท่ามีความถูกต้องตามแบบฉบับ มีความคล่องแคล่วชำนาญที่จะเปลี่ยนลีลาให้เข้ากับจังหวะดนตรี และต้องรำให้สวยงามอ่อนช้อยหรือกระฉับกระเฉงเหมาะแก่กรณี บางคนอาจอวดความสามารถในเชิงรำเฉพาะด้าน เช่น การเล่นแขน การทำให้ตัวอ่อน การรำท่าพลิกแพลง เป็นต้น
2.               การร้อง โนราแต่ละตัวจะต้องอวดลีลาการร้องขับบทกลอนในลักษณะต่างๆ เช่น เสียงไพเราะดังชัดเจน จังหวะการร้องขับถูกต้องเร้าใจ มีปฏิภาณในการคิดกลอนรวดเร็ว ได้เนื้อหาดี สัมผัสดี มีความสามารถในการร้องโต้ตอบ แก้คำอย่างฉับพลันและคมคาย เป็นต้น
3.               การทำบท เป็นการอวดความสามารถในการตีความหมายของบทร้องเป็นท่ารำ ให้คำร้องและท่ารำสัมพันธ์กันต้องตีท่าให้พิสดารหลากหลายและครบถ้วน ตามคำร้องทุกถ้อยคำต้องขับบทร้องและตีท่ารำให้ประสมกลมกลืนกับจังหวะและลีลาของดนตรีอย่างเหมาะเหม็ง การทำบทจึงเป็นศิลปะสุดยอดของโนรา
4.               การรำเฉพาะอย่าง นอกจากโนราแต่ละคนจะต้องมีความสามารถในการรำ การร้อง และการทำบทดังกล่าวแล้วยังต้องฝึกการำเฉพาะอย่างให้เกิดความชำนาญเป็นพิเศษด้วยซึ่งการรำเฉพาะอย่างนี้ อาจใช้แสดงเฉพาะโอกาส เช่น รำในพิธีไหว้ครู หรือพิธีแต่งพอกผู้กผ้าใหญ่ บางอย่างใช้รำเฉพาะเมื่อมีการประชันโรง บางอย่างใช้ในโอกาสรำลงครูหรือโรงครู หรือรำแก้บน เป็นต้น การรำเฉพาะอย่าง มีดังนี้
1.               รำบทครูสอน
2.               รำบทปฐม
3.               รำเพลงทับเพลงโทน
4.               รำเพลงปี่
5.               รำเพลงโค
6.               รำขอเทริด
7.               รำเฆี่ยนพรายและเหยียบลูกนาว (เหยียบมะนาว)
8.               รำแทงเข้
9.               รำคล้องหงส์
10.         รำบทสิบสองหรือรำสิบสองบท
5.               การเล่นเป็นเรื่อง โดยปกติโนราไม่เน้นการเล่นเป็นเรื่อง แต่ถ้ามีเวลาแสดงมากพอหลังจากการอวดการรำการร้องและการทำลทแล้ว อาจแถมการเล่นเป็นเรื่องให้ดู เพื่อความสนุกสนาน โดยเลือกเรื่องที่รู้ดีกันแล้วบางตอนมาแสดงเลือกเอาแต่ตอนที่ต้องใช้ตัวแสดงน้อย ๆ (2-3 คน) ไม่เน้นที่การแต่งตัวตามเรื่อง มักแต่งตามที่แต่งรำอยู่แล้ว แล้วสมมติเอาว่าใครเป็นใคร แต่จะเน้นการตลกและการขับบทกลอนแบบโนราให้ได้เนื้อหาตามท้องเรื่อง

ระบำวิชนี


ระบำวิชนีเป็นระบำชุดหนึ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยใช้ทำนองเพลงจีนดาวดวงเดียว ซึ่งเป็นเพลงที่มีอยู่ มาประดิษฐ์เป็นท่ารำ
ในมือผู้แสดงจะต้องถือพัดมีด้ามประกอบการรำซึ่งมีศัพท์เรียกว่า วิชนี หรือ พัชนี ออกมาร่ายรําด้วยท่วงทํานองเพลงและบทร้องอันไพเราะ
นักแสดงมักจะใช้หญิงล้วน แสดงเป็นกลุ่มจะสวยงามกว่าจากการโบกพัดเข้ากับจังหวะเพลง
เครื่องแต่งกาย แต่งกายแบบนางในราชสำนัก สวมเครื่องประดับทอง ศรีษะประดับด้วยดอกไม้หรือรัดเกล้าทอง
เนื้อร้องระบำวิชนี
ผู้ประพันธ์เนื้อร้องคือ อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย กรมศิลปากร
หน้าร้อน
ทินกรเจิดแจ่มแฉล่มศรี
เกิดแสงแดดแผดมาสู่ร่างนี้
เผามาลีโรยเหงาเหี่ยวเฉาไป
อากาศร้อนอบอ้าวผะผ่าวผิว
ไล่ลมพริ้วมาไวคลายร้อนได้
พระพายหยุดสุดร้อนร้อนฤทัย
ต้องอาศัยโบกพัดกระพือลม
วิชนีที่ช่วยให้โรยรื่น
เย็นฉ่ำชื่นชุ่มในฤทัยสม
ถึงเวลาหน้าร้อนร้อนระงม
เชิญมาชมรำพัดให้เย็นใจเอย
….เพลงบรรเลงรัว เพลงเชิดจีน
ท่ารำระบำวิชนี


วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การรำฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง

รำฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง

        เคยได้นำเสนอการแสดง “รำฉุยฉาย” ในหลายๆชุดที่ผ่านมาอาทิเช่น “ รำฉุยฉายพราหมณ์” “ รำฉุยฉายเบญกาย”และ “ฉุยฉายศูรปนักขา” ได้รับความสนใจจากผู้เข้ามาอ่านจำนวนมาก ในวันนี้ขอนำเสนออีกหนึ่งฉุยฉายคือ “รำฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง”
 
                “รำฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง” เพลงที่ใช้ในการแสดงชุดนี้ ใช้เพลงฉุยฉายประกอบท่ารำ ตัวละครฝ่ายนางถือกิ่งไม้เงินทองในบท "สองนางเนื้อเหลือง" ฉบับเจ้าจอมละม้าย อาจารย์เฉลย ศุขะวณิช เป็นผู้ถ่ายทอดฉุยฉายชุดนี้จนเป็นที่นิยมแพร่หลาย ใช้เป็นฉุยฉายเบิกโรงชุดหนึ่ง สำหรับบทร้องการรำฉุยฉายชุดนี้ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีเนื้อร้องดังต่อไปนี้ 
          ฉุยฉายเอย

สองนางเนื้อเหลืองย่างเยื้องกรีดกราย

ห่มผ้าหน้าปักชาย

ผันผายมาเบิกโรง

     มือถือกิ่งไม้เงินทอง

เป็นของสง่าอ่าโถง

ได้ฤกษ์งามยามโมง

จะชักโยงคนมาดู

     การฟ้อนละครใน

มิให้ผู้ใดมาเล่นสู้

ล้วนอร่ามงามตรู

เชิดชูพระเกียรติเอย

      สองแม่เอย

แม่งามหนักหนา

เหมือนหนึ่งเทพธิดา

ลงมากรายถวายกร

      รำเต้นเล่นดูดี

ยิ่งกว่ามีมาแต่ก่อน

เว้นแต่ท้ายไม่งอน

ไม่เหมือนละครนอกเอย

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บันทึกความดีประจำวันที่6 สิงหาคม 2555

1.ตื่นขึ้นมา เก็บที่นอน
2.สวัสดีแม่ เเละคุณครูก่อนเข้าโรงเรียน
3.เก็บขยะก่อนเข้าแถว
4.ไหว้พระตอนเข้าแถว
5.เชื่อฟังคุณครูในรายวิชา
6.สอนการบ้านเพื่อน